ในวันที่ AI เขียนโค้ดได้เอง เทสอัตโนมัติได้ในพริบตา หลายคนอดสงสัยไม่ได้ว่า... “งั้นเรายังต้องมีทีม QA อยู่เหรอ?”
คำถามนี้ฟังดูสมเหตุสมผล — แต่คำตอบอาจไม่ใช่สิ่งที่คุณคาด
AI เก่งเรื่อง “เร็ว” แต่ยังไม่เก่งเรื่อง “เข้าใจ”
ใช่, AI ทำงานได้เร็วมาก
มันสามารถรันเทสได้เป็นพันกรณีในเวลาไม่กี่นาที
เจอ Error, แจ้ง Fail, ส่งรีพอร์ตครบถ้วน
แต่… AI ยัง “ไม่เข้าใจเจตนา” ของระบบ
มันไม่รู้ว่าฟีเจอร์นี้สร้างมาเพื่อลด Drop-off หรือเพิ่ม Conversion
มันไม่รู้ว่า “ความผิดพลาดเล็กน้อย” อาจนำไปสู่ประสบการณ์ที่พังในสายตาผู้ใช้
QA คือมนุษย์ผู้มี “วิจารณญาณ” ที่ AI ยังไม่มี
ลองนึกภาพ: ระบบแสดงผล “ปุ่มจ่ายเงิน” ครึ่งเดียวเพราะ Responsive ผิดพลาด
AI อาจไม่แจ้ง Error เพราะปุ่มยังอยู่ ยังคลิกได้
แต่ QA ที่เข้าใจว่า นี่คือจุดวิกฤตของธุรกิจ จะรู้ทันทีว่านี่คือปัญหาใหญ่
Human Judgement คือจุดแข็งของ QA ยุคใหม่ ที่ทำงานร่วมกับ AI ไม่ใช่แข่งกับมัน
AI ช่วยได้ — แต่ต้องมีคน “เทรน” และ “ตีความ”
AI Testing Tool เก่งแค่ไหนก็ยังต้องมีคนสอนว่าต้องเทสอะไร และเมื่อได้ผลลัพธ์มา ก็ต้องมีคน “แปลผล” และ “ตัดสินใจ” ต่อยอด
จะเทสเคสไหนเพิ่ม?
จะปรับเงื่อนไขยังไงให้แม่นยำขึ้น?
จะพัฒนาไปในทิศทางไหนให้สอดคล้องกับ Product Goal?
ทั้งหมดนี้คือหน้าที่ของ QA ที่เข้าใจทั้งเทคโนโลยีและธุรกิจ
QA ยุคใหม่ = ผู้ควบคุมคุณภาพ + ผู้กำกับการใช้ AI
แทนที่จะกลัวว่า AI จะแย่งงาน
QA ควรอัปเกรดบทบาทตัวเองให้กลายเป็น “คนควบคุม AI”
คัดกรองคุณภาพ, สร้างเทสเคสอย่างรอบคอบ, คอยจับจุดผิดพลาดที่อัลกอริทึมมองไม่เห็น ในทีม Agile หรือ DevOps ที่เน้นความเร็ว
QA ไม่ได้เป็น “ด่านสุดท้าย” อีกต่อไป — แต่เป็น “พาร์ทเนอร์” ตั้งแต่ต้นจนจบ
แต่การจะทำให้ระบบ “พร้อมใช้งานจริง” กับผู้ใช้ที่หลากหลายและคาดเดาไม่ได้
ยังต้องการ QA ที่คิดเป็น วางแผนเป็น และเข้าใจความซับซ้อนของมนุษย์
เพราะในวันที่ทุกอย่างกลายเป็นอัตโนมัติ “คุณภาพ” ยังต้องมีคนที่เข้าใจจริงเป็นคนดูแล