การวางแผนงานในแต่ละวัน 💡 QA ฝ่ายผลิต จะไม่ได้รู้ก่อนว่าในแต่ละวันจะได้ทดสอบงานตัวไหนและมีปริมาณมากน้อยแค่ไหน เนื่องจากงาน QA ในสายการผลิตจะรับงานต่อจากฝ่ายผลิตมาอีกที ปริมาณงานมากน้อย ขึ้นอยู่กับฝ่ายผลิตที่ทำได้และส่งมาให้เราตรวจสอบในแต่ละวัน ทำให้ไม่สามารถวางแผนล่วงหน้าได้ แต่ QA Tester จะต้องรู้แผนงานล่วงหน้า เพื่อให้รู้ระยะเวลาในการทำงานและประเมินได้ว่าจะแล้วเสร็จตอนไหน ซึ่งการทำงานของเราจะแบ่งออกเป็น Sprint ใน 1 Sprint จะมี 2 สัปดาห์ และแต่ละสัปดาห์จะถูกหั่นแบ่งไว้แล้วว่าแต่ละวันจะต้องทำอะไร ใช้กี่ Man Hour การทำงานแบบนี้มีข้อดีคือเราวางแผนล่วงหน้าได้ แต่ก็มีความกดดัน คือ เมื่องานมีปัญหาหรือมีงานด่วนมาแทรก เราต้องบริหารเวลาให้ดี เพื่อให้งานไม่ล้นไปวันอื่นมากที่สุด เพราะไม่งั้นงานก็จะล่าช้าออกไปอีก เมื่อเจองาน NG หรือบัค จะทำยังไง 👾❓ QA ฝ่ายผลิตจะทำหน้าที่ตรวจสอบงานต่อจากฝ่ายผลิต เมื่อเจองานที่ไม่ตรงตามสเปกหรืองาน NG จะมีการเขียนรายงาน ส่วนใหญ่จะเป็นเอกสารที่เป็นกระดาษเพื่อแจ้งไปยังฝ่ายผลิต ซึ่งบ่อยครั้งไม่ได้มีความจำเป็นต้องตามงานต่อว่าฝ่ายผลิตไปจัดการต่อยังไง หรือบางงานที่เป็น Product ที่แก้ไขไม่ได้ ก็ทิ้ง Product ตัวนั้น ๆ ไปเลย ส่วนกระบวนการตรวจสอบความผิดพลาดหรือการแก้ไขปัญหาอื่น ๆ จะเป็นระดับหัวหน้าระดับสูงขึ้นไป แต่ QA Tester หากตรวจเจอจุดที่ไม่ตรงสเปกจะกลายเป็นบัค ซึ่งจะมีการรายงานบัคไปที่ Dev โดยผ่านการใช้เครื่องมือสื่อสารและบันทึกบัคในแต่ละเคสเอาไว้ และเมื่อรายงานบัคเสร็จหาก Dev ไม่เข้าใจและต้องการให้เรา Reproduce เราก็ต้องชี้จุดที่บัคให้ Dev เข้าใจให้ได้ ดังนั้นเราจึงต้องแม่นสเปกเพื่อให้เขาแก้ไขมาได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ เมื่อ Dev แก้บัคมาแล้ว เราต้องทำการเทสต่อวนไปจนกว่าบัคนั้นจะถูกแก้ไขให้ถูกต้องตามสเปก ซึ่งต้องใช้ทั้งทักษะในการคิดวิเคราะห์ การสื่อสาร ขอบเขตความรับผิดชอบงาน ⚙️💯 QA ฝ่ายผลิต ไม่ได้มีหน้าที่ในการคิดคำนึงถึงการใช้งานของ user เนื่องจากขั้นตอนนี้จะเป็น R&D ที่มีการคิดไว้แล้ว ซึ่งในการทำงานจะตรวจสอบแค่ Material หรือ Product ให้ตรงตามสเปกหรือถูกต้องตามมาตรฐานเท่านั้น แตกต่างกับ QA Tester ที่จะต้องมีการคิดคำนึงถึงสถานการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ โดยการจำลองตัวเองเป็น user ที่เข้าใช้งานและคิด use case ที่อาจเกิดขึ้นได้ทั้งหมด เพื่อทำการทดสอบอย่างครอบคลุม ปล. ในส่วนนี้เป็นเพียงประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้นนะคะ แต่ละคนหรือแต่ละองค์กรอาจจะมีหน้าที่หรือมีขั้นตอนการทำงานที่แตกต่างกันออกไปค่ะ ✅
ที่รองเม้าส์ลดปวดข้อมือ ราคาหลักสิบ 🖱
💻 สำหรับคนที่ต้องทำงานหน้าคอมและใช้เม้าส์อยู่บ่อย ๆ น่าจะเคยมีปัญหาเกี่ยวกับอาการปวดเมื่อยข้อมือกันบ้าง ซึ่งก็มาจากการที่เราจับเม้าส์ท่าเดิมนานเกินไปและบริเวณข้อมือก็ค้างอยู่นานจนเกิดอาการเกร็งและนำไปสู่การเมื่อย หนักเข้าอาจจะเคล็ดข้อมือได้ 🖱 เราก็เป็นคนนึงที่มีปัญหานั้น ตอนแรกก็คิดว่าน่าจะไม่เกี่ยวกับท่าจับเม้าส์ แต่วันนั้นเลื่อน ๆ Shopee อยู่ดี ๆ ก็เจอที่รองเม้าส์ลดราคา และมีคนรีวิวเยอะมาก ก็เลยลองกดสั่งมา การใช้งานช่วงแรก ยังไม่ค่อยเห็นผล ยังไม่หายปวดข้อมือเท่าไร แต่ใช้ไปสักประมาณ 2 อาทิตย์ เริ่มรู้สึกว่าไม่ปวดข้อมือแล้ว และเริ่มติดที่รองเม้าส์อันนี้ แบบไปทำงานนอกบ้าน รึเข้าออฟฟิศก็จะเอาที่รองเม้าส์นี้ติดไปด้วยตลอด ✨ ที่รองเม้าส์ที่เราเกริ่นไปซะยาว ก็คือที่รองเม้าส์ ROBOT รุ่น RP02/AMP02 เป็นที่รองเม้าส์สีดำโลโก้สีเขียว พื้นสัมผัสมีความนุ่ม และที่สำคัญช่วงข้อมือนูนขึ้นมารองรับบริเวณข้อมือ เป็นวัสดุนุ่ม ๆ แต่ไม่นิ่มมาก ยืดหยุ่นได้ดี ทำให้พอวางข้อมือลงไปแล้วไม่ยวบแต่ช่วยซัพพอร์ตข้อมือเราได้ดี สำหรับวัสดุโดยรวมและการตัดเย็บทำออกมาได้ประณีต ไม่กิ๊กก๊อกและคุ้มราคา ในงบไม่เกิน 50 บาท แต่ได้ที่รองเม้าส์ที่ซัพพอร์ตข้อมือ หายปวดข้อมือและพกพาได้ง่าย เพราะน้ำหนักเบา ส่วนข้อเสีย ตอนนี้ยังไม่เจอ เพราะใช้งานมาได้ประมาณ 2 เดือน เป็นอีกไอเทมสำหรับคนทำงานหน้าคอมที่อยากให้ลองใช้กันค่ะ
โต๊ะปรับระดับได้ สายทำงานหน้าคอมห้ามพลาด!!
ช่วงนี้หลายคน wfh กัน เลยอยากมาแนะนำสำหรับสายทำงานหน้าคอมนาน นั่งท่าเดิมๆจนปวดหลัง นี่เลยโต๊ะปรับระดับความสูงด้วยระบบไฟฟ้ารุ่น Electric Table 📌 เราเลือกซื้อเพราะ– นั่งทำงานหน้าคอมนานๆ แล้วไม่ได้ขยับร่างกายในท่าอื่น ๆ ทำให้ปวดหลัง- สามารถ custom โต๊ะได้เองแบบที่เราชอบ คุณสมบัติ:– เคลื่อนที่ขึ้นลงนุ่มนวลด้วยระบบมอเตอร์ไฟฟ้า ช่วยให้ปรับขึ้นลงได้อย่างมั่นคง และไม่ส่งเสียงดัง- แผงควบคุม: 7 ปุ่มคือ ขึ้น, ลง, ความจำ1, ความจำ2, ความจำ3, ตั้งความจำ และตั้งเวลา- ความสูงสามารถปรับได้ทุกระดับที่ต้องการ ตั้งแต่ 63 ซม จนถึง 126 ซม- ระบบตั้งเวลาที่จะปรับความสูงอัตโนมัติเพื่อไม่ให้เราอยู่ในท่าใดท่าหนึ่งเป็นเวลานาน- โครงสร้าง: มี 2 ขา และ 3 stages พร้อมระบบกันกระแทก- รับน้ำหนักสูงสุด: 100 กิโลกรัม Custom:1. เลือกวัสดุ: Laminate, Melamine และไม้ต่าง ๆ2. เลือกขนาด Top: S, M และ L3. เลือกเฟรม: Normal, L Shape และ Three-Leg4. เลือกรูปทรงของ Top: มี 4 แบบ5. อุปกรณ์อื่น ๆ เพิ่มเติม ส่วนตัวเรา custom ตามด้านล่างเลยค่ะ สนใจเอาไป custom ตามกันได้✅ Top: Melamine สี่เหลี่ยม ไซต์ M ✅ เฟรม Normal สีขาว ✅ ข้อดี1. ดีไซน์สวย เรียบๆสามารถเลือก custom ได้2. มีที่เก็บสายไฟให้ดูเป็นระเบียบ (เหมาะมากๆกับคนไม่ชอบเห็นสายไฟรกตา)3. สามารถปรับระดับได้หลายระดับ เหมาะสำหรับคนที่นั่งทำงานนานๆแล้วอยากเปลี่ยนระดับโต๊ะทำงานให้ยืดหยุ่น4. ตัวช่วยที่ดีสำหรับชาวออฟฟิศซินโดรม5. ใช้งานได้ระยะยาว❌ ข้อเสีย1. ราคาอาจจะแรงไปหน่อย แต่ถ้าคิดถึงคุณภาพใช้งานคิดว่าเหมาะสม2. มีการใช้ไฟฟ้า อาจจะเพิ่มค่าใช้จ่ายรายเดือน (แต่ไม่มาก)โดยรวมชอบมากกกก👍🏻👍🏻 เพื่อสุขภาพระยะยาวเราว่าควรซื้อไว้จริงๆ เลือกยืนหรือนั่งทำงานได้ตามชอบเลย ราคา ฿17,900.00 – ฿22,400.00พิกัด: โต๊ะปรับระดับได้
สมัครบัตรเครดิตใบแรก 💳 เลือกแบบไหน ให้ถูกใจ ตรงไลฟ์สไตล์ ✨
ฮัลโหลลทุกคน มีใครเป็นไหม? เรียนจบทำงานแล้วอยากจะลองมีบัตรเครดิตสักใบ เห็นใครๆเค้าก็ว่าดี แต่พอเริ่มหาข้อมูลเท่านั้นแหละ “ปวดหัวมาก” ไม่รู้จะเลือกบัตรไหนดี สำหรับใครที่ยังลังเลว่าจะสมัครหรือไม่? เนื่องจากมีตัวเลือกมากมายจนไม่รู้ว่าควรสมัครบัตรไหน ถึงจะเหมาะสมและคุ้มค่ากับการใช้จ่ายและไลฟ์สไตล์ของตัวเองได้ และพอได้หาข้อมูลเพื่อตัดสินใจไปเรื่อยๆแล้วนั่น ก็ยิ่งทำให้เกิดความสับสนมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นวันนี้แหละเราจะมาแนะนำบัตรเครดิตใบแรกให้ทุกคนเอง เริ่มเลย บัตรเครดิต LINE POINTS Credit Card บัตรเครดิต LINE POINTS Credit Card คืออะไร??เป็นบัตรเครดิตของธนาคารกสิกรไทย เป็นบัตรที่เหมาะกับคนที่จะเริ่มมีบัตรใบแรกมาก เพราะเป็นบัตรที่ไม่ได้ระบุเจาะจงกับไลฟ์สไตล์ใดๆ แต่เป็นบัตรที่สามารถใช้จ่ายได้หมดทุกอย่างเหมาะสำหรับทุกคนที่ยังไม่รู้ว่าจะมีบัตรเครดิตเพื่อไว้ใช้จ่ายกับอะไร โดยที่ทุกการใช้จ่ายผ่านบัตรใบนี้เราจะได้ 1% LINE POINTS จากการใช้จ่าย ซึ่งเราสามารถใช้จ่ายได้กับทุกอย่าง ยกเว้น! ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าประกัน การซื้อทอง และอัญมณี รวมถึงการบริจาคต่างๆ เป็นต้น LINE POINTS นี้นำไปใช้งานอย่างไร?? แน่นอนค่ะ ชื่อก็บ่งบอกอยู่แล้วว่า LINE POINTS เพราะฉะนั้นทุกคนจะต้องนำบัตรนี้ไปผูกกับ Account Line Pay ที่เมนู Wallet โดยทุกคนต้องเปิดใช้งานและยืนยันตัวตน LINE Pay Wallet ให้เรียบร้อยก่อน จากนั้นถึงทำการเพิ่มบัตรเครดิตในบัญชี LINE Pay โดยมีขั้นตอนดังนี้ เลือกปุ่ม เริ่มใช้ LINE Pay ด้านบนแท็บ Wallet เพื่อ “ยืนยันตัวตน” ในการผูกเข้ากับบัญชี LINE Payของคุณ เมื่อลงทะเบียนยืนยันตัวตนเรียบร้อยแล้ว ให้ทำตามขั้นตอนตามรูปภาพ หลังจากที่เพิ่มบัตรเรียบร้อยแล้ว เมื่อมีการใช้จ่าย LINE POINTS ก็จะถูกเก็บสะสมผ่านบัญชี LINE Pay เรา และจะแสดงอยู่ที่มุมบนด้านขวามือของ LINE Pay Wallet ตามตัวอย่างรูปด้านล่าง โดยเราสามารถดูจำนวน POINTS ทั้งหมด รวมถึง History ต่างๆในการใช้จ่ายบัตรผ่านทางไลน์ของเราได้เลย เพราะสามารถที่จะตั้งแจ้งเตือนการใช้จ่ายบัตรผ่านทาง Account LINE ของเราได้ สะดวกสบายสุดๆ LINE POINTS สามารถใช้ที่ไหนได้บ้าง?? เราสามารถใช้ LINE POINTS เป็นส่วนลดแทนเงินสดได้ทันทีเมื่อซื้อสติกเกอร์, ธีม, เมโลดี้บน Line Store หรือใช้ชำระค่าสินค้าและ/หรือบริการด้วย LINE Pay E-Wallet ที่ร้านค้าตามที่ LINE Pay กำหนด ยกตัวอย่างเช่น การชำระค่าโทรศัพท์ AIS, DTAC, ค่าไฟ, ค่าน้ำประปา การช็อปปิ้งผ่านทางออนไลน์ เช่น Lazada, Line Shopping, Watsons เป็นต้น การชำระค่าอาหารผ่านทาง LINE MAN การเติมเงิน หรือการซื้อตั๋วสำหรับเดินทางโดย BTS ซึ่งปัจจุบันมีร้านค้าทั้งออนไลน์ และออฟไลน์ มากกว่า 300,000 ร้านค้าทั่วประเทศอีกด้วย ซึ่งสะดวกมากๆเพราะเราไม่จำเป็นต้องเก็บสะสมพ้อยท์ให้มียอดมากๆแล้วแลกของขวัญหรือคูปองต่างๆผ่านทางธนาคารโดยตรงเหมือนกับบัตรใบอื่นๆ แต่สามารถใช้พ้อยท์ได้กับการใช้จ่ายต่างๆที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันได้เลย เป็นยังไงกันบ้างเพื่อนๆ บัตรใบนี้คือใช้ง่ายและคุ้มมากๆเลยใช่ไหมละคะ😊ใครที่สนใจ!! เพียงแค่มีบัญชีเงินฝากบน Application KPLUS บนสมาร์ทโฟนของคุณ ก็สามารถสมัครได้เลยง่ายๆ แถมอนุมัติไว อีกทั้ง “ฟรีค่าธรรมเนียม” ไปเลย เพียงแค่มีการใช้จ่ายผ่านบัตร 12 ครั้งต่อปีเท่านั้น แล้วเก็บไว้พิจารณากันดูน้าาาา🫶🏻😘 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่นี่ เอ๊ะๆ ก่อนจะจากไป อยากให้เพื่อนๆรู้ข้อดีข้อเสียของบัตรเครดิตกันสักนิดก่อนตัดสินใจสมัครกันดีกว่า เพื่อประกอบการตัดสินใจ ข้อดี ✅สะดวกต่อการใช้จ่าย หรือซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ได้อย่างสะดวก ✅สามารถใช้จ่ายกับสิ่งจำเป็นได้ก่อน โดยไม่ต้องรอเงินเดือนออก ✅ปลอดภัย ไม่ต้องพกเงินสด ✅โปรโมชั่นและแต้มสะสม ✅ใช้ในการผ่อนชำระสินค้า ที่ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือนให้น้อยลงได้ ข้อเสีย ❌สร้างนิสัยการใช้เงินที่ไม่ดีให้กับผู้ใช้ ❌บัตรบางประเภทอาจมีค่าธรรมเนียม ❌หากใช้ในการผ่อนชำระ อาจมีดอกเบี้ยที่แพง บัตรเครดิตมีทั้งข้อดีและข้อเสียก็จริง แต่จะใช้ให้เกิดประโยชน์หรือส่งผลเสีย ก็ขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการและวินัยทางการเงินของผู้ใช้นั่นเอง จัดการได้ดีก็ดี จัดการได้ไม่ดีก็ตัวใครตัวมันนะจ๊ะทุกคนน!! แล้วพบกันใหม่คอนเทนต์หน้า บ๊ายบาย👋🏻💖
แจกทริคการจดสรุปในที่ประชุมให้ปัง!
มาจ้าาาา สำหรับสายเข้าห้องประชุมทั้งหลาย จะมาบอกทริคการจดสรุปในที่ประชุม ให้สารครบถ้วน ตรงประเด็น และไม่ยืดเยื้อ แต่ก่อนอื่นมาจำแนกรูปแบบการจดกันก่อน หลักๆแล้วจะมี 3 วิธีด้วยกัน ได้แก่ จดแบบละเอียดทุกคำพูด ข้อนี้สารมาครบแต่ก็สิ้นเปลืองเวลาทั้งคนอ่านและคนจด นิยมใช้กับประชุมใหญ่ๆที่มีความสำคัญสูง จดแบบย่อคำพูด เน้นจดประเด็นสำคัญ ข้อนี้สารจะมาแบบกระชับ แต่เนื้อหาต้องมีความเข้าใจชัดเจน จดแบบเหตุผลและมติในที่ประชุม เน้นสองส่วนคือเหตุผลและมติ และครอบคลุมเฉพาะประเด็นสำคัญ นิยมใช้กับการประชุมที่ต้องการเน้นการตัดสินใจรวดเร็ว ทีนี้เรามาดูทริคการจดสรุปการประชุม ที่จะช่วยให้จดบันทึกได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพกันน เตรียมตัวล่วงหน้า: รู้หัวข้อที่จะประชุม เตรียมเอกสารพร้อมจด จับประเด็นสำคัญ: จดเฉพาะประเด็นที่เป็นหัวใจของการสนทนา เช่น ปัญหาที่ถูกพูดถึง แนวทางแก้ไข ข้อสรุป และผู้รับผิดชอบ ใช้ตัวย่อสัญลักษณ์: เช่น “ต.” แทนคำว่า “ตัดสินใจ” หรือ “ก.” แทนคำว่า “การ” และสัญลักษณ์ เช่น ✔ เพื่อแสดงถึงการอนุมัติ สรุปเนื้อหาแบบกระชับ: ใช้ภาษาสั้นๆแทนภาษาพูด แต่ยังสื่อความหมายได้อย่างถูกต้อง ทำสรุปหลังการประชุมทันที: รีบเรียบเรียงบันทึกให้เป็นรูปแบบที่เข้าใจง่าย ตรวจสอบความถูกต้อง และส่งต่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้อง ใช้เทคโนโลยีช่วยในการจด: ถ้าบันทึกเสียงได้ก็จัดเลย เพื่อกลับมาฟังทบทวนในกรณีที่พลาดข้อมูลสำคัญ สรุปได้ว่า การจดสรุปในที่ประชุมมีหลายรูปแบบ หลายเทคนิค ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมของรูปแบบการประชุมและความสะดวกของผู้จด ถ้าเราเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเอง ก็จะทำให้การสรุปประชุมมีประสิทธิภาพมากขึ้นและสามารถนำข้อมูลไปใช้งานได้อย่างเต็มที่ สำหรับใครที่มองหา Application ที่เอาไว้จดสรุปประชุม ใช้แล้วชีวิตดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Microsoft OneNote, Notion, Evernote เป็นแอปบันทึกที่เหมาะกับการจดหลายรูปแบบ ขึ้นอยู่กับความถนัดของแต่ละคน หรือจะจดผ่าน note ที่เป็น default ของเครื่องได้เช่นกันหากต้องการแอปที่มีความยืดหยุ่นสูงและสามารถจัดการงานอื่นๆ ได้ด้วย แนะนำเป็น Notion และ Evernoteหากต้องการแอปที่เน้นการทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ แนะนำเป็น Microsoft OneNote บทความข้างต้นเป็นทริคการจดสรุปเล็กๆน้อยๆและตัวเลือกแอปในการช่วยจด อย่าลืมไปลองใช้งานกันดูน้า หวังว่าจะได้ประโยชน์จาก content นี้ค่า 🙂